Notifications
Clear all

เศรษฐกิจไทย 2568 เจอมรสุมรอบด้าน

1 Posts
1 Users
0 Reactions
277 Views
หจก. สถาพร แพด พริ้น
Posts: 218
(@admin)
Honorable Member
Joined: 7 years ago

เมื่อ “เศรษฐกิจไทย” อลหม่านสั่นไหวจากมรสุมรอบด้านที่รุมเร้าอย่างต่อเนื่องมายาวนาน รวมถึงความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า สงครามเศรษฐกิจ เอฟเฟ็กต์ภาษีทรัมป์ที่สะเทือนทั่วโลก

ทำให้ “รัฐบาลแพทองธาร” นั่งไม่ติด พลิกตำราหาสูตรออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจประกอบกับจีดีพีไม่ให้ต่ำเตี้ยไปมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนัก รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาหั่นคาดการณ์ “เศรษฐกิจไทย 2568” เติบโตไม่ถึง 2%

⦁จับตา‘คลัง’เคาะ 5 แสนล้านพ.ค.
ล่าสุด พิชัย ชุณหวชิร ขุนคลังออกมาสร้างความมั่นใจ เตรียมกระสุน 5 แสนล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจ รับมือทรัมป์ป่วนโลก จัดแพคเกจใหญ่ทั้งกระตุ้นการลงทุน การบริโภครวมทั้งการลงทุนในประเทศ รวมถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟต์โลน ทั้งหมดจะชัดเจนภายในเดือนพฤษภาคมนี้

จากโจทย์ที่เปิดออกมา มีเพียงภาพรวม ขาดรายละเอียดไส้ในโครงการร่วมด้วยแหล่งที่มาของเงิน ทำให้หลายฝ่ายคาใจ รัฐบาลจะนำเงินจากแหล่งไหนประกอบกับใช้ในโครงการอะไรบ้าง

แนวทางหนึ่งว่ากันว่า หนีไม่พ้นเป็นการเกลี่ยจากงบกลางปี 2568 ยังเหลืออยู่ 1.5 แสนล้านบาท ควบคู่ออก พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน โดยขอขยายเพดานหนี้สาธารณะจากปัจจุบันกว่า 64% เป็น 75-80%

ขณะที่ลิสต์โครงการ ทางเลขาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจหมายรวมไปถึงสังคมแห่งชาติ (สศช.) แย้มออกมาแล้วในเบื้องต้นเป็นการลงทุนโครงการขนาดเล็กที่ใช้เวลาระยะสั้น เพื่อเร่งอัดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีนี้ เช่น การพัฒนาระบบน้ำ แหล่งน้ำ ถนนในชุมชน คล้ายกับโครงการผันเงินในอดีต คาดว่าจะใช้เงินร่วม 1 แสนล้านบาท ทั้งดึงจากงบประมาณปี 2568 ในโครงการที่สามารถเบิกได้ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 หรือแปลงจากโครงการที่มีแนวโน้มไม่ได้ทำแล้ว หวังแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในช่วงระยะสั้น

ส่วนการออก พ.ร.บ.กู้เงินตามไอเดียของ “ขุนคลัง” ทาง สศช.มองว่ายังไม่ใช่เวลา แต่ก็ต้องเตรียมคิดไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมกระสุนไว้รับมือผลกระทบในระยะต่อไป ที่มองไปข้างหน้ายังต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูง

⦁ธุรกิจหนุนลงทุน-จ้างงาน-เลิกแจก
ท่ามกลางกระแสรัฐบาลเตรียมแผนกระตุ้น 5 แสนล้านบาท มีเสียงสะท้อนจากนักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ นักวิชาการ ซึ่งต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า “เห็นด้วย แต่ต้องไม่ใช่การกระตุ้นด้วยการแจกเงิน” เหมือนที่ผ่านมา

พร้อมกับมีคำถามดังๆ ไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะประชุมคณะกรรมนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 30 เมษายนนี้ว่า “น่าจะถึงเวลาลดดอกเบี้ยได้แล้ว” เพื่อออกมาตรการด้านการเงิน มาสนับสนุนมาตรการด้านการคลังประคับประคองเศรษฐกิจไทย ที่ตกอยู่ในสภาวะไม่ปกติ ป่วยหนักใกล้เข้าไอซียู ไม่ให้อาการทรุดหนักไปมากกว่านี้

อิสระ บุญยัง รองประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ รวมทั้งก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยประกอบกับนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า เห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้เงิน 5 แสนล้านบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เหนื่อยและชะลอตัวลากยาวมาตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 มาเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เหตุการณ์แผ่นดินไหวร่วมด้วยการขึ้นภาษีทรัมป์อีก ทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้า อาการสาหัสรอเข้าไอซียู คาดว่าทั้งปีนี้จีดีพีโตไม่ถึง 1.8% ซึ่งเห็นใจรัฐบาล นาทีนี้ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็เหนื่อย ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติแบบนี้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันไม่ว่าฝ่ายค้านรวมไปถึงฝ่ายรัฐบาล อย่าเล่นการเมืองกันมาก

“ผมมองว่าจำเป็นที่รัฐบาลนำเงิน 5 แสนล้านบาท มากระตุ้นเศรษฐกิจ จะเป็นการกู้หรือดึงจากงบประมาณมาก็ได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเกินเพดานหนี้สาธารณะ เพราะขอขยายเพิ่มได้ประกอบกับมีหลายประเทศที่หนี้สาธารณะเขาสูงกว่าเราเป็น 100% เช่น ญี่ปุ่น เราอาจขยายชั่วคราวเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ไม่ให้ชะลอตัวลึกไปมากกว่านี้ แต่รัฐบาลต้องแจงรายละเอียดให้ชัด ใช้เงินทำอะไร ซึ่งต้องไม่เป็นโครงการกระตุ้นระยะสั้นแค่ครั้งเดียวอย่างแจกเงิน เพราะอาจเป็นการละลายเงินสูญเปล่าหรือเป็นโครงการระยะยาวมากจนเกินไป เพราะกว่าจะเห็นผลใช้เวลานาน สิ่งสำคัญความหมาย ต้องใช้เงินให้เกิดประโยชน์ประกอบกับมีการตรวจสอบด้วย” อิสระสะท้อนความเห็น

ทั้งนี้ “อิสระ” เห็นด้วยหากเป็นโครงการลงทุนที่ทำให้เกิดการจ้างงานเช่น โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ถนน การพัฒนาแหล่งน้ำ ซึ่งทำให้เกิดการจ้างงานในชนบท รวมถึงการออกซอฟต์โลน ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจบวกกับภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลอาจจะต้องชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้ รวมถึงนำไปสนับสนุนการออกมาตรการด้านภาษีกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว เพื่อเย้ายวนใจนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้ให้ครบทุก จว. เช่น อาจจะทำโครงการเมืองไทยไปครบหรือยังหรือลดภาษีให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น เช่น ผู้ประกอบการรถตู้นำเที่ยว ผู้ประกอบการโรงแรม เป็นต้น

อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน “อิสระ” เชื่อว่าในการประชุม กนง.วันที่ 30 เมษายนนี้ คงถึงเวลาต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอีก 0.25% เนื่องจากเมื่อเทียบกับช่วงที่มีวิกฤตโควิด-19 สถานการณ์ยังไม่แย่ขนาดนี้ ซึ่งการลดดอกเบี้ยมีผลต่อเศรษฐกิจในทันที เพราะช่วยลดภาระให้กับ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ต้องการขอสินเชื่อใหม่ กลุ่มที่เป็นหนี้อยู่แล้วบวกกับกลุ่มภาคครัวเรือน ซึ่งธนาคารเองในไตรมาสแรกที่ผ่านมามีกำไรค่อนข้างมาก สวนทางกับภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมแล้วก็ครัวเรือนที่ย่ำแย่ ขณะที่เงินกันสำรองของ ธปท.ก็สูง คงต้องถึงเวลาที่ ธปท.ต้องพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว

ฟาก ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าร่วมด้วยอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) ระบุว่า แนวคิดกู้เงินเพิ่ม 5 แสนล้านบาทของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลน่าจะประเมินภาพเศรษฐกิจไว้ในรูปแบบที่เลวร้ายสูงสุด กรณีเจรจาสหรัฐไม่สำเร็จหรือสงครามภาษีทั่วโลกรุนแรงมากขึ้น กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย เพราะไทยส่งออกสินค้าไปทั่วโลก ความจำเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจจึงยังมีทำให้กู้เงินมาเตรียมไว้รับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยง แต่ต้องเน้นประสิทธิภาพการใช้เงินงบประมาณประกอบไปด้วยความจำเป็น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สำเร็จจริงๆ

“ภาพเหมือนตอนเกิดโควิด-19 ที่รัฐบาลประยุทธ์ กู้เงินมาเพื่อแก้ไขภาวะวิกฤต รับมือกับการจ้างงานที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจนกระทบเศรษฐกิจ โดยกู้เงินมาทำโครงการปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการในดอกเบี้ยต่ำ แลกกับการไม่เลิกจ้างงาน แต่ภาวะตอนนี้ยังไม่ชัดเจนขนาดนั้น เพราะฝุ่นยังตลบอยู่ การหารือกับสหรัฐยังไม่เห็นว่าจะออกไปในทางไหนถือว่าดีหากรัฐเตรียมงบไว้รับมือกับภาวะฉุกเฉิน แต่ไม่เห็นด้วยที่จะเป็นนโยบายแบบประชานิยม เพราะการแจกเงินดิจิทัลไม่ได้เห็นผลต่อเศรษฐกิจ สิ่งสำคัญเช่นนั้นแล้วคือรัฐต้องทำควบคู่กับปรับโครงสร้างหนี้ของประชาชนบวกกับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด เกิดภาวะหนี้ครัวเรือนและก็หนี้เสียสูง” ธนิตกล่าวย้ำ

⦁นักเศรษฐศาสตร์แนะ‘ตั้งวอร์รูม’
ขณะที่ อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า เห็นด้วยในหลักการที่รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงิน 5 แสนล้านบาท เนื่องจากในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ต้องใช้มาตรการด้านการคลังมาช่วยกระตุ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังโตช้า น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้า แต่ต้องลำดับความจำเป็นในการใช้เงินว่าจะทำอะไรบ้าง และก็ต้องไม่ใช่เป็นการแจกเงินแล้วจบเหมือนที่ผ่านมา ที่อาจไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ต้องเป็นการลงทุนในลักษณะของการจ้างงานร่วมด้วยเพิ่มประสิทธิภาพทักษะการจ้างงาน ใช้วัสดุประกอบกับทรัพยากรภายในประเทศ เพื่อกระจายรายได้ไปสู่ชนบท ซึ่งเป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องคิดต่อไปอาจเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถนน แหล่งน้ำก็ได้

“รัฐบาลต้องเร่งพิจารณาบวกกับมีวอร์รูมเศรษฐกิจหารือร่วมกัน อย่ารอให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่านี้ ในช่วงเร่งด่วนอาจจะดูงบประมาณประจำปีที่มีอยู่ทั้งปี 2568 และปี 2569 มาดำเนินการไปก่อน เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถประคองตัวไม่ให้ถลำลึก สำหรับจีดีพีในปีนี้คาดการณ์จะขยายตัวที่ 1.8%” อมรเทพกล่าว

“อมรเทพ” กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ธปท.ต้องใช้มาตรการด้านการเงินมากระตุ้นด้วย โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งมองว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง โดยวันที่ 30 เมษายน 2568 จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จากระดับ 2.00% สู่ระดับ 1.75% ประกอบกับสู่ระดับ 1.25% ภายในปลายปีนี้ เนื่องจากถึงเวลาแล้วที่ต้องมีมาตรการด้านการเงินมาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยซึ่งมีปัญหาก่อนมีสงครามการค้าแล้ว จากข่าวร้ายที่เข้ามาทุกเดือน ตั้งแต่ต้นปีกำลังซื้อแผ่ว การแจกเงินหมื่นไม่ช่วยหมุนระบบเศรษฐกิจ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติผิดคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปมากเนื่องจากขาดความเชื่อมั่น ยังมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสงครามการค้าสหรัฐกับจีนเข้ามาเพิ่มอีก

“ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยนโนบายจึงสามารถดำเนินการได้ เพราะเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ เงินเฟ้อก็ต่ำ เพื่อให้มีแรงส่งเศรษฐกิจเพิ่ม ไม่ต้องกลัวว่าเมื่อลดดอกเบี้ยแล้ว คนจะไปสร้างหนี้ใหม่ เพราะถึงลดดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง ที่สำคัญต้องใช้มาตรการด้านการเงินและการคลังไปด้วยกัน” อมรเทพกล่าวย้ำ

⦁ทีดีอาร์ไอไม่ติดหากจำเป็น‘ต้องกู้’
ไม่ต่างจากมุมมองของ นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ได้ระบุว่า สถานการณ์หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของประเทศไทยในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นมาก จากเดิมเคยอยู่ที่ 45% ต่อจีดีพี หลังมีโควิด-19 ที่มีการกู้เงินมารับมือวิกฤต รวมถึงมีการกู้เงินของรัฐบาลปัจจุบันในการแจกเงินดิจิทัล ทำให้หนี้สาธารณะในอนาคตจะอยู่ที่ 70% ต่อจีดีพี เป็นระดับที่ทำให้ประเทศไทยถูกเปลี่ยนสถานะจากที่มีศักยภาพกู้หนี้ยืมสินที่ดีอยู่ในระดับกลางแทน ไม่ได้ดีกว่าประเทศที่กำลังพัฒนาหรือประเทศในกลุ่มเอเชียเหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็นอันตรายมาก

เนื่องจากวิกฤตต่างๆ ซ้ำซ้อนมากกว่าเดิม จากปัญหาหนี้สินตั้งแต่โควิด ยังไม่ได้ถูกแก้ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น มาเจอกับสงครามการค้า การขึ้นภาษีของสหรัฐ จึงยังสามารถกู้เงินมาใช้ในยามจำเป็นจริงๆ ได้ แต่หากกู้เงินทั้งที่ยังไม่ได้จำเป็นมากนักจะมีความเสี่ยงในอนาคต หากใช้เงินในภาวะที่จำเป็นจริงๆ จะไม่สามารถกู้เงินได้แล้ว รวมถึงเผชิญกับภาระดอกเบี้ยสูง ทำให้การบริหารจัดการยากขึ้นจากภาระที่ต้องจ่ายหนี้สูงขึ้นกว่าเดิมด้วย จึงเหลือเงินไปทำอะไรได้น้อยกว่าเดิม

ทั้งนี้ จากข้อมูล IMF พบว่าแม้สถานการณ์หนี้ของประเทศไทยอยู่ในระดับกลาง แต่หากสามารถหาโครงการที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ไม่ใช่โครงการที่ฉาบฉวยอย่างการแจกเงินหรือผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ หากมีหลายมาตรการเป็นระยะยาว จะทำให้เศรษฐกิจโตได้ผ่านการปรับโครงสร้าง ส่วนนี้ยังสามารถทำได้

“การกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ต้องคำนึงถึงอนาคตมากที่สุด เพราะอนาคตจะมีความเสี่ยงที่ต้องเจอกับวิกฤตต่างๆ มากเต็มไปหมด หากรัฐบาลมั่นใจว่ามีโครงการที่มีมูลค่าจริงๆ ก็สามารถทำได้ เพราะระดับหนี้ของเรายังอันตราย แต่ต้องเน้นย้ำว่าเป็นโครงการที่เกิดประโยชน์จริงๆ ไม่ได้เป็นโครงการฉาบฉวย หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบเดิมๆ เพราะพิสูจน์แล้วการแจกเงินระยะสั้นไม่สามารถกระตุ้นจีดีพีโต 4-5% ได้จริงอย่างที่ประเมิน หากทำแบบนี้ต่อไป ก็ไม่เห็นด้วยที่จะกู้เงินออกมา เพราะถือเป็นการกระทำที่สูญเปล่า” นณริฏทิ้งท้าย

คงต้องลุ้นเมื่อเศรษฐกิจไทยเจอศึกหนักรอบด้าน โจทย์ท้าทายรอบทิศ “รัฐนาวาแพทองธาร” จะรวมพลังกอบกู้วิกฤตในครั้งนี้ได้อย่างไร แล้วเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ใช้กระตุ้นจะเอาอยู่หรือไม่ ฤๅจะเป็นนโยบายกระสุนด้าน?


เนื้อหาเรียบเรียงใหม่จากต้นฉบับข่าวทาง มติชนออนไลน์ อย่าพลาดเรื่องราวดี ๆ จากทางเรา ที่เดียว หจก.สถาพร แพด พริ้น จำหน่ายเครื่องสกรีน เครื่องพิมพ์แพด พร้อมอุปกรณ์งานสกรีนครบวงจร สนใจโทร 081-620-5309


แนะนำสินค้าขายดี

เครื่องพิมพ์ระบบสกรีน Screen Printing Machine

เครื่องสกรีนกระเป๋า ถุงผ้า SPP-4060F

เครื่องพิมพ์ระบบถ่ายโอนความร้อน Hot Stamping Machine

เครื่อง Hot Stamping รุ่น SPP-6B : plane & circular dual-purpose transfer printing machine

2 Colors / เครื่องพิมพ์ระบบแพด 2 สี

เครื่องแพด 2 สี SPP-P2/S : Two Colors Pad Printer with Shuttle

อุปกรณ์การพิมพ์ สำหรับเครื่องพิมพ์แพด

Silicone Pad ลูกยางซิลิโคน

อุปกรณ์ การพิมพ์ สำหรับเครื่อง สกรีน

ผ้าสกรีน Screen Mesh

4 Colors / เครื่องพิมพ์ระบบแพด 4 สี

SPP-M4/S : Four Colors Pad Printer with Shuttle

เครื่องพิมพ์ระบบถ่ายโอนความร้อน Hot Stamping Machine

เครื่องถ่ายโอนความร้อน รุ่น SPP-2BM : plane – circular dual-purpose bronzing machine